

ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรมากกว่า 70 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตของธุรกิจ E-commerce อย่างมาก ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่เหมาะสมสำหรับการขยายตัวของธุรกิจ Self Storage โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ที่ประชากรกว่า 50% อาศัยในพื้นที่คอนโดขนาดเล็กกว่า 50 ตร.ม. ซึ่งขนาดพื้นที่ที่จำกัดนี้เอง ทำให้ความต้องการการใช้ Self Storage เพิ่มมากขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกาและยุโรป ธุรกิจ Self Storage ในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกา มีบริการ Self Storage กว่า 52,000 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 213 ล้านตารางเมตร ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียงประมาณ 40 แห่ง รวมพื้นที่เพียง 46,450 ตารางเมตรเท่านั้น ตัวเลขนี้สะท้อนถึงช่องว่างและโอกาสในการเติบโตสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการ
แรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดไทย ที่ทำให้ธุรกิจ Self Storage เติบโต ได้แก่ ความหนาแน่นของเมืองและพื้นที่อยู่อาศัยที่มีขนาดเล็กลง, การย้ายถิ่นฐาน การเปลี่ยนงาน และการเปลี่ยนแปลง Lifestyle, ธุรกิจการท่องเที่ยวที่ทำให้เกิดความต้องการมากขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น ภูเก็ต พัทยา และเชียงใหม่, และการมีผู้ให้บริการจำนวนน้อย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่นอกกรุงเทพฯ
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธุรกิจ Self Storage ในประเทศไทยพิสูจน์แล้วว่ามีความมั่นคงกว่าธุรกิจการให้บริการออฟฟิศและธุรกิจ Retail ด้วยรูปแบบที่ใช้บุคลากรน้อย มีอัตราการย้ายออกต่ำ และรายได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจากข้อมูลธุรกิจ Self Storage ในประเทศไทย ลูกค้าใช้บริการต่อเนื่องเกิน 1 ปีมีจำนวนกว่า 70% ของลูกค้าทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างผลกำไรต่อเนื่องได้ในระยะยาว
ในอนาคต การขยายตัวของสังคมเมืองจะส่งผลให้ธุรกิจ Self Storage ในประเทศไทยเติบโตขึ้น ขณะที่กระแสการลงทุนทั่วโลกกำลังมองหา “อสังหาริมทรัพย์ทางเลือก” ที่สร้างผลตอบแทนสูง ประเทศไทยจึงถือเป็นโอกาสที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาลงทุนก่อน จาก Demand ที่ชัดเจน และศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
งาน Self Storage Expo Asia จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 19–21 พฤษภาคม 2568
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ Heily Lai ที่อีเมล heilylai@selfstorageasia.org