เปิดโกดังคุยกับ i-Store Self Storage ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ที่รู้ใจคนชอบเก็บ

เมื่อความแออัดของสิ่งปลูกสร้างที่ยังไม่ได้มีการจัดการอย่างเป็นระบบทำให้จำนวนพื้นที่ในการอยู่อาศัยลดน้อยลงและการใช้ชีวิตบนตึกสูงได้กลายมาเป็นวีถีใหม่ของคนเมือง แต่ถ้าหากลองนึกถึงพื้นที่ประเภทอสังหาริมทรัพย์ เราอาจนึกถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ อย่างคอนโด บ้านจัดสรร สำนักงาน และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ขณะที่พื้นที่ในการจัดเก็บอย่างโกดังหรือพื้นที่ให้เช่าเก็บของก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่อาจมองข้ามสำหรับการใช้ชีวิตในวันนี้ด้วยเช่นกัน

          เราได้พูดคุยกับคุณภักดี อนิวรรตน์ CEO & Co-Founder ของ I-Store Self Storage ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บและจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อผู้ใช้งานและต่อพื้นที่ในสังคมอย่างยั่งยืน

จากปัญหาเรื่องพื้นที่สู่ธุรกิจรับฝากของ

          คุณภักดีเล่าถึงจุดเริ่มต้นธุรกิจ I-Store Self Storage ไว้ว่า เกิดจากความสนใจที่จะเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองที่ทำให้ได้มีโอกาสเข้าอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ รวมถึงได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน ๆ ที่เป็นนักพัฒนาที่ดินจำนวนมาก จนมองเห็นโอกาสในการพัฒนาพื้นที่ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการสร้างอาคารให้ซื้อหรือเช่าเพื่อการอยู่อาศัย แต่แนวคิดเรื่องการจัดเก็บ (Self Storage) ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ได้มาจากการไปดูงานของผู้ประกอบการต่างประเทศ ที่เขาริเริ่มและดำเนินธุรกิจประเภทนี้อยู่แล้ว

          “โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีหลากหลายรูปแบบ แต่ผมอยากทำธุรกิจที่มีรายได้แบบต่อเนื่อง ซึ่งก็มีหลายประเภท เช่น หอพัก อพาร์ตเมนต์ โรงแรม โกดัง หรือแม้แต่ศูนย์ข้อมูล (Data Center) แต่ตอนนั้นผมมองว่าธุรกิจที่เรียกว่า Self Storage เป็นธุรกิจที่ยังมีคนทำไม่ค่อยเยอะ คู่แข่งทางการค้าก็ยังมีน้อยราย รวมถึงสภาพสังคมไทยที่เป็นแบบสังคมเมือง (Urbanisation) มากขึ้น ทำให้มีโอกาสสูงที่คนเมืองที่จะเกิดปัญหาเรื่องพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมถึงตอนนี้ผู้คนก็อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมกันมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันที่อยู่อาศัยแบบนี้ก็มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ทำให้คนอาจต้องการพื้นที่สำหรับการเก็บของมากขึ้น จุดนี้ผมจึงคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ธุรกิจประเภทนี้จะสามารถเติบโตได้อีกมาก ถ้าเทียบกับในหลาย ๆ ประเทศในเอเชียอย่างเช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เป็นต้น แต่หากไปเทียบกับฝั่งอเมริกาหรือยุโรป เขาเริ่มทำธุรกิจประเภทนี้มาก่อนเราอาจจะหลายสิบปีมาแล้ว ซึ่งบางประเทศก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องพื้นที่ แต่ธุรกิจ Self Storage ก็ยังเติบโตขึ้นได้เรื่อย ๆ ”

บ้านหลังที่สามของข้าวของที่ทิ้งไม่ลง

          เมื่อคนย้ายเข้ามาอยู่บ้านหรือคอนโดมิเนียมในเมือง พื้นที่ใช้สอยในการอยู่อาศัยก็มักจะแคบและจำกัด สวนทางกับกระแสทุนนิยมที่ผู้คนต่างบริโภคด้วยการจับจ่ายใช้สอยข้าวของอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะครอบครัวขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยและก็มีความจำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บสิ่งอุปโภคบริโภคให้เพียงพอกับสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว และเพราะ “การทิ้ง” อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกกรณี โดยเฉพาะของบางชิ้นที่มีคุณค่าทางจิตใจ หรือบรรดาของสะสมชิ้นโปรด ดังนั้นคนจำนวนมากจึงต้องการพื้นที่ในการเก็บสิ่งของเหล่านี้โดยที่ไม่ต้องสูญเสียพื้นที่ใช้สอยในการอยู่อาศัย และยังต้องการความมั่นใจว่าสิ่งของของเขาจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีโดยที่สามารถไปหยิบหามาใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

          “i-Store Self Storage เป็นบริการรู้ใจที่จะเข้ามาแก้ไขความขัดแย้งระหว่างความต้องการเก็บรักษาสิ่งของ กับปัญหาเรื่องพื้นที่ที่จำกัด โดยบริการของเราจะมีลักษณะเหมือนกับโกดังหรือคลังสินค้าขนาดเล็ก ที่สามารถเก็บของได้หลากหลายตามความต้องการของลูกค้า ถ้าลูกค้าต้องการเก็บของส่วนตัว เฟอร์นิเจอร์ สินค้า หรือแม้แต่ไวน์ ก็สามารถที่จะมาใช้บริการของเราเป็นพื้นที่ในการเก็บของแทนที่จะเก็บไว้ที่คอนโด ที่บ้าน หรือต้องไปเช่าโกดังขนาดใหญ่นอกเมือง” ปัจจุบัน i-Store Self Storage เปิดให้บริการ 2 สาขา คือ สาขาสีลม และสาขาสุขุมวิท 24 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ใจกลางเมือง สามารถเดินทางมาได้สะดวก รวมถึงมีที่จอดรถไว้สำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการโดยเฉพาะ

          “เราไม่อยากให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนกับเราเป็นแค่สถานที่ที่ช่วยเขาเก็บรักษาข้าวของเท่านั้น แต่เราอยากให้ i-Store Self Storage เป็นเหมือนบ้านหลังที่สามของเขา โดยที่เขาสามารถจะเข้ามาจัดสรรพื้นที่ในการเก็บของได้ด้วยตนเอง สามารถเข้า-ออกพื้นที่ส่วนตัวได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนกับการนำของมาเก็บไว้ที่บ้าน ที่นี่เรามีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าของที่เขานำมาเก็บกับเรานั้นจะได้รับการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี”

รูปแบบการบริการที่หลากหลายและตอบโจทย์

          นอกจากที่ I-Store Self Storage ทั้ง 2 สาขา จะตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทำให้ลูกค้าสามารถเดินทางมาเก็บและนำของออกไปได้อย่างสะดวกสบายทุกเมื่อที่ต้องการแล้ว ที่นี่ยังจัดแบ่งรูปแบบการให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างครบครัน โดยปัจจุบันได้แบ่งการบริการออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

  • Personal Storageสำหรับเก็บของใช้ส่วนตัวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์กีฬา เครื่องดนตรี กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกา หรือแม้กระทั่งรถยนต์ ก็สามารถนำมาเก็บได้ตามความต้องการ
  • Business Storageส่วนใหญ่จะเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเก็บของจำนวนมาก เช่น สินค้าหรือวัตถุดิบสำหรับธุรกิจ หรือธุรกิจสำนักงานที่ต้องการพื้นที่ในการเก็บข้าวของและอุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ แม้แต่โรงเรียนหรือห้องสมุดที่นำหนังสือมาเก็บไว้ก็มี
  • Wine storageเหมาะกับลูกค้าที่ชื่นชอบรสชาติของไวน์ หรือต้องการมีห้องเก็บไวน์ (Wine Cellar) ที่อยู่ในเมือง ซึ่งสามารถนำมาเก็บหรือนำออกไปดื่มสังสรรค์ได้สะดวก แม้ว่าลูกค้าหลายคนที่มาใช้บริการห้องเก็บไวน์ของเราจะมีไวน์เซลล่าที่บ้านอยู่แล้ว แต่หลายคนก็มีปริมาณเยอะเป็นหลักร้อยถึงหลักพันขวด ก็อาจจะต้องแบ่งมาเก็บกับเรา นอกจากนี้สถานที่ตั้งของเราก็อยู่ใกล้ร้านอาหารและสถานที่จัดงานสังสรรค์ค่อนข้างเยอะ ทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกที่จะเก็บรักษาไวน์ไว้ที่นี่
  • ในส่วนของห้องเก็บไวน์ มียูนิตแยกที่เหมือนเซลล่าส่วนตัว และเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อควบคุมอุณหภูมิตามมาตรฐานของห้องไวน์เซลล่า มีเครื่องควบคุมความชื้นและเครื่องสำรองไฟฟ้าที่มั่นใจได้ว่าไวน์ทุกขวดที่นำมาเก็บไว้กับเราจะถูกเก็บรักษาอย่างดี
  • Box Storage เป็นบริการใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นมาให้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการเก็บของไม่เยอะมาก และชิ้นไม่ใหญ่มาก โดยบริษัทจะส่งกล่องขนาด 600x400x300 (mm) ให้ลูกค้าถึงบ้าน เพื่อให้ลูกค้าจัดเก็บข้าวของลงกล่องด้วยตนเอง จากนั้นจะมีพนักงานของเราไปรับกล่องมาเก็บไว้ที่สโตร์ของเรา โดยบริการนี้ลูกค้าสามารถดำเนินการไว้ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทที่เรียกว่า i-Store go

อุ่นใจทุกเวลา เก็บรักษาพร้อมรับประกัน

          “เรามอบความสบายใจให้ลูกค้าให้มั่นใจได้ว่ามาเก็บของกับเราแล้วไม่สูญหายแน่นอน เพราะนอกจากจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม กล้องวงจรปิด และพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ภายในจะมีล็อกเกอร์หรือพื้นที่เก็บของที่ลูกค้าสามารถเลือกพื้นที่ได้ตามความเหมาะสมอีกทั้งยังเปิดให้ลูกค้าสามารถนำแม่กุญแจของตนเองมาล็อกเพื่อความสบายใจได้อีกชั้น รวมถึงคีย์การ์ดที่สามารถเข้าถึงชั้นเก็บของลูกค้าได้เท่านั้น ซึ่งลูกค้าสามารถมาเอาของออกไปหรือเข้ามาเก็บของได้ตลอดเวลา”

          “นอกจากนี้ทุกยูนิตเรายังมีประกันให้ในวงเงิน 20,000 บาท สำหรับมูลค่าสินค้าหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีที่ลูกค้าคิดว่าของที่จะนำมาเก็บมีมูลค่ามากกว่านั้น หรือไม่ต้องการความเสี่ยง ลูกค้าก็สามารถซื้อวงเงินประกันเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง โดย I-Store จะแนะนำตัวแทนประกันให้ติดต่อกันได้โดยตรง”

          กฎเกณฑ์การใช้งานที่ง่ายและสบายใจนี้ มีเงื่อนไขการใช้งานอยู่เพียงเล็กน้อย นั่นคือเกณฑ์ในการรับฝาก ที่นี่ห้ามฝากของที่ผิดกฎหมาย อาวุธ อาหาร หรือสิ่งมีชีวิต โดยที่ลูกค้าต้องลงลายมือชื่อยินยอมว่าจะไม่นำของจำพวกนี้มาเก็บโดยเด็ดขาด

อนาคตธุรกิจเมื่อ Vertical Living กลายเป็นวิถีชีวิตของคนเมือง

          ในอนาคตการอยู่อาศัยในแนวสูงจะได้รับความนิยมมากขึ้น แน่นอนว่าปัญหาเรื่องพื้นที่ที่จำกัดย่อมมีมากขึ้น และอาจส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจประเภทนี้ทั้งในแง่บวกและความท้าทายที่ต้องเตรียมรับมือ

          “เราตั้งเป้าไว้ว่า จะขยายสาขา 2 สาขาต่อปี ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งหัวเมืองและเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ เพราะเราต้องการขยายกลุ่มลูกค้าไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยเพิ่มด้วย

ส่วนกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการ “เก็บ” มากเท่าใดนัก ก็กลับเป็นความท้าทายที่ทำให้พบโอกาสบางอย่างที่จะสามารถนำพาธุรกิจเข้าไปเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความไม่อยากเก็บของพวกเขาได้เช่นกัน

          “ผมมองว่าคนรุ่นใหม่มักยอมจ่ายในสิ่งที่ให้ความสะดวกสบายกับเขา บริการ i-Store Go ที่มีลักษณะการให้บริการแบบเดลิเวอรีจึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ให้สามารถเลือกใช้บริการของเราได้สะดวกขึ้น โดยที่ลูกค้าสามารถจองและจ่ายค่าบริการเป็นรายเดือนผ่านทางเว็บไซต์ได้ด้วยตนเอง ด้วยค่าบริการ เริ่มต้นขั้นต่ำ 3 เดือน 700 บาท และหากเพิ่มระยะเวลาเช่ามากขึ้น ค่าบริการเฉลี่ยแต่ละเดือนก็จะถูกลงไปด้วย”

          “นอกจากนี้เรายังมองในส่วนของการสร้างแฟรนไชส์ และโมเดลการทำธุรกิจแบบแบ่งผลกำไร (Profit Sharing Model) สำหรับผู้ที่สนใจอยากลงทุนโดยใช้ชื่อแบรนด์ของเรา เพราะในบางพื้นที่เราไม่สามารถเข้าไปขยายเองได้หรือหากได้แต่อาจจะต้องใช้เวลานาน ส่วนการร่วมมือกันกับธุรกิจหรือคู่ค้าอื่น ๆ ปัจจุบันเราร่วมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ นำบริการของเราไปเป็นสิทธิพิเศษ (Privilege) ให้กับลูกค้าของเขา เช่น มอบส่วนลด หรือโปรโมชันต่างๆ ซึ่งในระยะยาวก็อาจจะมีโครงการที่พัฒนาร่วมกัน มองว่าหากเราเข้าไปมีส่วนร่วมกับแบรนด์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ จะทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้น โดยที่เป็นลูกค้าที่มีความต้องการที่จะใช้บริการของเราจริง ๆ”

เรื่อง : มนันญา ใจมงคล และ จุฑาทิพย์ บัวเขียว I ภาพ : ภีร์รา ดิษฐากรณ์